20.5.53

หอมกลิ่นบ้านเก่า : บ้านชินประชา จ.ภูเก็ต


เมื่อวันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา
มีโอกาสเข้าไปบ้านชินประชาของป้าแดงเป็นครั้งแรก ด้วยความเอ็นดูของป้าแดงล้วนๆ ~~

ป้าแดงต้อนรับพวกเรา(พี่จุ๋ม ยุงดอง จุ๊บ)อย่างอบอุ่น หาเสื้อผ้าชุดย่าหยา ผ้าถุง มาให้พวกเราเลือกมากมาย ทั้งแบบที่หวงสุดๆ เก่าสุดๆ จากชั้นบน ก็เอามาให้เรายืมอย่างไม่หวงของ

ด้วยความเห็นดีเห็นชอบกับ โครงการอนุรักษ์วัฒนธรรมการแต่งกายท้องถิ่นของชาวภูเก็ต ที่ทางโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ได้สร้างสรรค์ขึ้น โดยจะมีการเดินแบบกันในวันเสาร์ที่ 22 พ.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 14.30 น.เป็นต้นไป ซึ่งป้าแดงก็ให้เกียรติมาให้ความรู้แก่พวกเราในงานนี้ด้วย


เพื่อให้คณะแพทย์ พนักงาน และผู้ร่วมงาน ได้เข้าถึงกลิ่นอายของวัฒนธรรมเก่าแก่โบราณของชาวภูเก็ตอย่างแท้จริง อันจะนำไปสู่การร่วมแรงร่วมใจกันอนุรักษ์และหวงแหนวัฒนธรรมอันดีงามอย่างยั่งยืน สืบไป

:: เพราะพวกเราชาวโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต จะร่วมกันแต่งสวยทุกวันพฤหัสบดีเลยจ้า ~ ~

EM / Friendship Beach Resort

ภารกิจ EM สำหรับเช้าวันนี้(20พ.ค.) คือ การบรรยายเรื่อง การใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ (EM) กับสิ่งแวดล้อม ให้แก่พนักงาน Atmanjai / Friendship Beach Resort โดยพี่จุ๋ม(ปารียา จุลพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจสาธารณะ) และพี่กระแต(นนทลี มรรคาวาณิช ประธานมูลนิธิมรรคาวาณิช) เจ้าเก่า

สืบเนื่องจากเพื่อนพี่จุ๋ม(เจ้าของที่นี่) ได้ฟังพี่จุ๋มบรรยายเรื่องการใช้ประโยชน์จาก EM ตอนประชุมโรตารี่ป่าตองบีช เมื่อเดือนก่อน แล้วเกิดสนใจ อยากนำมาใช้ที่รีสอร์ทของตัวเอง เพื่อช่วยลดการใช้สารเคมีที่ทำลายสิ่งแวดล้อม จึงขอให้พี่จุ๋มกับพี่กระแตมาบรรยายให้พนักงานฟัง เพื่อนำไปสู่การใช้จริงในอนาคต


พี่จุ๋มกับพี่กระแตจึงอธิบายหลักการทำงานของจุลินทรีย์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ก่อนให้พนักงานทุกคนทดลองผสมน้ำ EM ขยายด้วยตัวเอง พร้อมกับแจก EM มะกรูดและ EM สัปปะรด เพื่อให้พนักงานนำกลับไปลองใช้ ซึ่งก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างดี

ความโชคดีจึงตกเป็นของจังหวัดภูเก็ต เพราะมีสมาชิกชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของกิจการที่นี่ ตระหนักถึงความสำคัญในการลดการใช้สารเคมีที่ทำลายสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอีก 1 องค์กร

ใครสนใจร่วมด้วยช่วยกัน ติดต่อได้ที่ฝ่ายกิจสาธารณะโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต โทร 1719 ต่อ 2297
เราไปบรรยายให้ฟรีไม่คิดตังค์จ้า..
สนป่าว? ลดการใช้สารเคมี ประหยัด และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย

โครงการอนุรักษ์วัฒนธรรมการแต่งกายท้องถิ่นชาวภูเก็ต

เพื่อใคร : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์



เพื่ออะไร.. ทำไม และอย่างไร
ยิ่งตอบไป ยิ่งหลง เข้าพงหนาม
หนึ่งคำถามที่ต้องตอบให้ชอบความ
หนึ่งคำถาม คือ คำถาม .. ทำเพื่อใคร

อย่าตอบว่า ทำเพื่ออุดมการณ์
ความสามานย์จะอุดมได้ไฉน
หรือทำเพื่อประชาธิปไตย
ความหยาบช้าสาไถย ใช่ครรลอง

อุดมการณ์และประชาธิปไตย
จะต้องถามเพื่อใคร ใครเกี่ยวข้อง
ประโยคที่ถูกธรรมถูกทำนอง
ประโยชน์ของประชาชนเป็นต้นธาร

ทำเพื่อตน พวกตน เพื่อนายตน
ยิ่งไม่ใช่เหตุผลอันพึงขาน
ยิ่งเคลื่อนไหว ยิ่งสำแดง แห่งสันดาน
ที่เถื่อนถ่อยอันธพาลประจานคน

การเคลื่อนไหวที่ชอบต้องตอบโจทย์
มีประโยชน์ มีขอบเขต มีเหตุผล
ยิ่งถามซ้ำ ยิ่งตอบ ยิ่งชอบกล
ศึกขุ่นข้น ยืดเยื้อนี้.. เพื่อใคร
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

16.5.53

ความดีที่ไม่สิ้นสุด

ความดีที่ไม่สิ้นสุด คือ การอุทิศอวัยวะเมื่อยามสิ้นสูญ
(ข้อมูลจากแบบฟอร์มบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย)
มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ต้องการทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตสักครั้ง โดยกำลังมองหาโอกาสพิเศษนั้นอยู่และใครจะรู้? ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน


เราเชื่อว่า.. ไม่มีใครคคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้ เพราะความแน่นอนบางทีอาจจะเป็นความไม่แน่นอน วันหนึ่งข้างหน้าคุณอาจจะเป็นผู้แสดงความขอบคุณในการรับอวัยวะเพื่อต่อชีวิตของคุณเองหรือผู้ใกล้ชิด หรือคุณอาจจะเป็นผู้ให้อวัยวะ เพื่อช่วยต่อเติมความหวังให้กับคนอื่นๆ แต่น้ำใจจากการเสียสละในวันนี้ จะสามารถสร้างรอยยิ้มที่สดใสและรับคำขอบคุณจากคนอีกมากมาย ด้วยการอุทิศอวัยวะเมื่อยามสิ้นสูญเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะเพียงตั้งใจอยากจะให้ ก็เป็นสุขใจเหลือคณานับ



การบริจาคอวัยวะ
คือ การให้อวัยวะของผู้เสียชีวิตไปแล้ว ในกรณีนี้ คือ ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะสมองตาย ให้แก่ผู้อื่นที่รอรับบริคอยู่ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น และไม่เจาะจงผู้รับ เพื่อนำอวัยวะไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยที่อวัยวะเสื่อมสภาพและไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้ อวัยวะที่บริจาคจะมีประโยชน์ เป็นคุณต่อผู้ป่วยที่รอรับบริจาคให้เขาเหล่านั้นมีชีวิตต่อไป


การปลูกถ่ายอวัยวะ
คือ การผ่าตัดนำอวัยวะใหม่เปลี่ยนแทนอวัยวะเดิม ที่เสื่อสภาพ จนไม่สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ และการผ่าตัดนั้นจะเป็นการช่วยชีวิตผู้ป่วยในระยะสุดท้ายให้เขามีชีวิตอยู่ ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อประโยชน์ต่อครอบครัวของเขาและสังคมต่อไป


สมองตาย
คือ ภาวะที่สมองถูกทำลายจนสูญเสียการทำงานโดยสิ้นเชิงและถาวร ถึงแม้จะกระตุ้นด้วยวิธีใดๆ ก็จะไม่ตอบสนอง ไม่มีการไอ จาม ไม่สามารถหายใจได้เอง ซึ่งถือได้ว่าผู้นั้นเสียชีวิตแล้ว


การที่อวัยวะของผู้ป่วยสมองตายยังทำงานอยู่ได้ เนื่องจากการใส่เครื่องช่วยหายใจไว้ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจน หัวใจ ก็สามารถสูบฉีดเลือดได้ โดยอาจจะต้องได้รับยากระตุ้นหัวใจร่วมด้วย ผู้เสียชีวิตสมองตายที่ได้รับการดูแลอยู่ในโรงพยาบาลและการทำงานของอวัยวะได้แก่ หัวใจ ปอด ตับ ตับอ่อน ไต ฯลฯ อยู่ในสภาพเหมาะสม อาจจะสามารถบริจาคอวัยวะเพ่อช่วยเหลือผู้อื่นได้


การแจ้งกรณีมีผู้เสียชีวิตจากภาวะสมองตาย
ญาติผู้บริจาคหรือเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่ผู้บริจาคเข้ารับการรักษา สามารถติดต่อศูนย์ฯ ได้ทาง โทร 1666 ผ่านระบบโทรศัพท์ตอบรับอัตโนมัติตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อศูนย์ฯ จะประเมินว่าผู้เสียชีวิตเหมาะสมจะเป็นผู้บริจาคอวัยวะหรือไม่ และขอความเห็นจากญาติในการบริจาคอวัยวะ กรณีญาติไม่เห็นด้วยหรือไม่ลงนามยินยอมบริจาคอวัยวะ ถือเป็นการยกเลิกการบริจาค


อวัยวะที่ได้ จะนำไปให้ใคร
ศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ จะจัดสรรอวัยวะที่ได้รับบริจาคอย่างเป็นธรรม เสมอภาคกัน และเป็นไปตามหลักวิชาการ โดยมีคณะอนุกรรมการวิชาการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันการแพทย์ต่างๆ เป็นผู้ดูแล โดยมีเกณฑ์ดังนี้
1.จัดสรรอวัยวะให้แก่ผู้ป่วยที่รอรับ หัวใจ ปอด ตับ ที่มีอาการหนักมาก ซึ่งหากไม่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะภายใน 3 วัน จะเสียชีวิต ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะได้รับการจัดสรรอวัยวะให้ก่อน
2.หากไม่มีผู้ป่วยอาการหนัก จะจัดสรรตามลำดับของโรงพยาบาลสมาชิ ส่วนการจัดสรรไต ซึ่งมี 2 ข้าง จะจัดสรรไต 1 ข้าง ให้กับผู้รอรับไตทั้งหมดที่ลงทะเบียนไว้กับศูนย์ฯ โดยเลือกจากผู้ที่มีคะแนนรวมสูงสุดจากการให้คะแนนในเรื่องการเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อของผู้ให้กับผู้รับภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อ ระยะเวลาในการรอ อายุ ส่วนไตอีกข้างหนึ่ง จัดสรรให้กับผู้ป่วยทีรอรับไตอยู่ในโรงพยาบาลสมาชิกที่เป็นทีมผ่าตัดนำอวัยวะออก โดยใช้เกณฑ์จากคะแนนรวมสูงสุดเช่นเดียวกัน ศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ จะรายงานผลการจัดสรรอวัยวะจากผู้บริจาคทุกราย ให้คณะอนุกรรมการวิชาการทราบทุก 3 เดือน

กลัวว่าจะไม่เหลือร่างกายไว้ให้ญาติบำเพ็ญกุศล
การบริจาคอวัยวะนั้น แพทย์จะทำการผ่าตัดนำอวัยวะภายในที่ใช้ประโยชน์ได้และเท่าที่อนุญาต โดยใช้เวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง จากนั้นจะมอบร่างให้ญาติ เพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลทางศาสนาต่อไป
กลัวชาติหน้า อวัยวะไม่ครบหรือพิการ
เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเชื่อถือส่วนบุคคล แต่หลักความเป็นจริง คนเราเกิดมามีส่วนประกอบหลักที่สำคัญ 2 ส่วน คือร่างกายและจิตใจ หรือจิตวิญญาณ เมื่อตายไปร่างกายย่อมสลายไปตามกาลเวลา ในส่วนของวิญญาณขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละศาสนา บางศาสนาก็เชื่อว่าวิญญาณจะสลายไปด้วย แต่บางศาสนาก็เชื่อว่ายังอยู่รอการเกิดใหม่ การเกิดใหม่ก็ย่อมมีร่างใหม่ อวัยวะใหม่อย่างแน่นอน คงไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับอวัยวะที่เคยใช้เมื่อชาติที่แล้ว และหากชาตินี้ทำบุญไว้มาก ผลบุญที่ได้รับก็จะทำให้จิตวิญญาณเราผ่องใส ส่งผลให้เกิดชาติหน้ามีอวัยวะที่สมบูรณ์แข็งแรง
กลัวการซื้อ-ขายอวัยวะ
เมื่อมีการบริจาคอวัยวะ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ จะจัดสรรอวัยวะเหล่านั้นให้กับผู้ป่วยที่ลงทะเบียนรอรับอวัยวะในโรงพยาบาลสมาชิกศูนย์ฯ ทั่วประเทศด้วยความเป็นธรรมเสมอภาค และปฏิบัติตามเกณฑ์การจัดสรรอวัยวะทุกประการ ซึ่งจะต้องมีรายงานผลการจัดสรรอวัยวะจากผู้บริจาคทุกรายแก่คณะอนุกรรมการวิชาการ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะทุก 3 เดือน
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากการได้รับอวัยวะแต่อย่างใด และไม่มีการจ่ายเงินค่าตอบแทนแก่ญาติผู้บริจาคอวัยวะ ค่าใช้จ่ายในการบริจาคอวัยวะ เช่น ค่ายา น้ำยาถนอมอวัยวะ ค่าผ่าตัดนำอวัยวะออกจากร่างกายผู้บริจาค ฯลฯ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศ ที่ร่วมกันบริจาคเงิน เพื่อการดำเนินงานของศูนย์ฯ
การบริจาคอวัยวะกับการบริจาคร่างกาย ต่างกันอย่างไร
การบริจาคอวัยวะเป็นการนำอวัยวะภายในบางส่วน เช่น หัวใจ ตับ ปอด ไต ไปเปลี่ยนให้กับผู้ป่วยที่อวัยวะเสื่อมสภาพ ส่วนการบริจาคร่างกาย เป็นการอุทิศทั้งร่างกายเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ศึกษาส่วนต่างๆ ของอวัยวะในร่างกายมนุษย์
การบริจาคอวัยวะต้องเสียชีวิตจากสมองตายเท่านั้น ส่วนการบริจาคร่างกายจะต้องเสียชีวิตจากสาเหตุธรรมชาติ การบริจาคอวัยวะสามารถแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะได้ที่ โทร 1666 ศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ ถ.อังรีดูนังต์ เหล่ากาชาดจังหวัดทุกแห่ง ส่วนการบริจาคร่างกายติดต่อได้เฉพาะที่คณะแพทยศาสตร์ทุกแห่ง
ผู้ที่แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะพร้อมกับได้อุทิศร่างกายไว้ด้วยนั้น เมื่อเสียชีวิตแล้วจะมีการพิจารณาว่าเหมาะสมที่จะบริจาคอวัยวะหรืออุทิศร่างกาย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาค
เจ้าหญิงนิทราสามารถบริจาคอวัยวะได้หรือไม่
ผู้ที่อยู่ในสภาพเจ้าหญิงนิทรา เป็นสภาพที่สมองสูญเสียการรับรู้ ความเข้าใจ ไม่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมแต่สามารถหลับตา ลืมตาได้เอง แต่ไม่มีความหมายใดๆ ยังมีช่วงหลับตื่นตามเดิมแต่ไม่รับรู้ ไม่ทราบว่าทำอะไรลงไป เนื่องจากสมองใหญ่(Cerebrum) สูญเสียความสามารถในการทำงานไป โดยที่ก้านสมอง (Brian stem) ยังพอทำงานได้ ทำให้ยังสามารถหายใจหรือไอได้เอง บางครั้งก็ลืมตาได้เองเมื่อถูกกระตุ้นให้เจ็บ แต่ไม่สามารถทำตามสั่งได้ อาจจะอยู่ได้เป็นเดือน เป็นปี กระทั่งเสียชีวิต
ดังนั้นผู้ที่อยู๋ในสภาพเจ้าหญิงนิทราจึงไม่ถือว่าตาย ไม่สามารถบริจาคอวัยวะได้ เว้นแต่ว่าผู้นั้นเกิดภาวะสมองตายขึ้น และอวัยวะอยู่ในสภาพที่เหมาะสม ก็สามารถบริจาคอวัยวะได้
แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะ ต้องตรวจร่างกายหรือไม่
การแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะ เป็นการบอกเจตนาของบุคคลนั้นไว้เท่านั้น การตรวจร่างกายจะกระทำต่อเมื่อผู้นั้นอยู่ในภาวะสมองตายแล้ว เพื่อประเมินสภาพการทำงานของอวัยวะ ว่าเหมาะสมสำหรับนำไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้อื่นหรือไม่
สายด่วนศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ 1666
เป็นบริการข้อมูลการบริจาคอวัยวะอัตโนมัติ ทางโทรศัพท์และโทรสารตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โดยกดรหัสข้อมูลที่ต้องการทราบหรือกด 0 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ (ในเวลาราชการ)
หากต้องการบริจาคอวัยวะหรือขอรับใบแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะ กด 2 หลังจากนั้น กด 1
หากต้องการแจ้งผู้ป่วยสมองตาบ กด 3
สำหรับท่านที่ต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะ ข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกถ่ายอวัยวะ ข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ หรือขอรับข้อมูลทางโทรสาร สามารถเรียกฟังข้อมูลบริการดังกล่าวได้ ตามขั้นตอนที่อธิบายทางโทรศัพท์
ทั้งนี้ผู้ที่มีความประสงค์จะบริจาคดวงตาและอวัยวะในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่ สามารถกรอกแบบฟอร์มได้ที่ กาชาดจังหวัดภูเก็ต โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต(โดยติดต่อพี่จุ๋มหรือจุ๊บๆ โทร 1719 ต่อ 1284 หรือ 2297 ค่ะ)

14.5.53

ตำแหน่งงานว่าง ประกาศ14May10

มีจริงหรือ?


คนที่ "สมควรตายจริงๆ" ในโลกนี้.. มีจริงหรือ?

หากเรายังมองว่า การฆ่ากัน เป็นเรื่องปกติ เพราะมันสมควรรับกรรม และมันไม่ใช่คนที่เรารัก
หากเรายังมองว่า การสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น เป็นเรื่องปกติ เพราะญาติกรูไม่ได้เดือดร้อน
หากเรายังมองว่า การโกงกินชาติ เป็นเรื่องปกติ ถ้าโกงมา แล้วแบ่งกรูสักครึ่ง

หากเรายังมองแค่นั้น โลกมันก็มีให้เห็น แค่เท่านี้..

ทองหลังพระ_ศิลปินน้อย

“Every Child is an artist. –เด็กทุกคนเป็นศิลปินได้” คำกล่าวของปิกัสโซ ศิลปินเอกระดับโลก ประโยคนี้ได้สร้างศิลปินน้อยคนหนึ่งขึ้นมา ด้วยความเชื่อมั่นของ คุณแม่รสริน เมทแลนด์ สมิธ คุณแม่ของน้อง ฮอลลี่ เมทแลนด์ สมิธ สาวน้อยวัยใกล้ 5 ขวบ ว่าเด็กทุกคนสามารถเป็นศิลปินได้อย่างที่ปิกัสโซกล่าว เธอจึงส่งเสริมให้ลูกสาวได้มีโอกาสสร้างผลงานศิลปะ ตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบ 8 เดือน ปัจจุบันน้องฮอลลี่ สาวน้อยลูกครึ่งไทยอังกฤษคนนี้มีผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ไว้กว่า 400 ชิ้น และเป็นศิลปินเด็กเพียงคนเดียวที่มีโอกาสแสดงผลงานในหอศิลป์กรุงเทพฯ อีกทั้งเธอกำลังจะมีงานแสดงศิลปะ “Every child is an artist.” ซึ่งจัดขึ้นที่โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ในวันที่ 30 เมษายน – 31 พฤษภาคมนี้ โดยรายได้จากการจำหน่ายภาพส่วนหนึ่งจะนำไปสมทบทุน เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการห้องสมุดเด็กวัดป่าส้าน อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา รวมทั้งสมทบกองทุนอนุรักษ์พะยูนบ้านป่าคลอก จังหวัดภูเก็ต ซึ่งโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตให้การสนับสนุนอยู่อีกด้วย ตัวอย่างของน้องฮอลลี่ น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณพ่อคุณแม่ และเด็กๆ คนอื่นๆ ได้เข้ามาสัมผัสกับโลกศิลปะ ซึ่งจะช่วยสร้างเสริมจินตนาการ และพัฒนาทักษะอื่นๆ ของเด็กได้เป็นอย่างดี

คุณรสริน คุณแม่ของน้องฮอลลี่ เล่าถึงลูกสาวคนโต ศิลปินน้อยวัย 5 ขวบคนนี้ว่า “น้องฮอลลี่เป็นลูกครึ่งไทยอังกฤษ เกิดและเติบโตที่จังหวัดภูเก็ต โดยคุณพ่อของน้องฮอลลี่ซึ่งเป็นชาวอังกฤษนั้นได้มาทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และการออกแบบตกแต่งบ้านอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต น้องฮอลลี่เป็นลูกสาวคนโต และมีน้องสาวอีกคนชื่อเบลล่า ตอนนี้อายุ 2 ขวบ 4 เดือน ตอนนี้น้องฮอลลี่กำลังจะเข้าเรียนที่โรงเรียนขจรเกียรติศึกษา”


“สำหรับการส่งเสริมลูกในด้านศิลปะนั้น เริ่มต้นจากการที่ดิฉันเองสนใจเรื่องของศิลปะอยู่แล้ว เวลามีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ ดิฉันจะชอบเข้าไปชมและใช้เวลาว่างอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ก็จะเห็นพ่อแม่ชาวต่างชาติหลายคนเขาพาลูกๆ มานั่งสเก็ตช์ภาพในพิพิธภัณฑ์ เด็กๆ ก็จะวาดภาพออกมาตามจินตนาการของเขาซึ่งน่าสนใจมาก ดิฉันจึงตั้งใจว่าถ้ามีลูกจะพยายามเปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้และสัมผัสกับศิลปะ จนกระทั่งมีน้องฮอลลี่ เมื่อเขาโตอายุได้ 2 ปีกว่า ดิฉันจึงให้เขาลองจับพู่กัน ลองลงสี โดยให้ใช้สีอะคลิลิกลงบนผืนผ้าใบเลย เพราะว่าอยากเก็บผลงานชิ้นนั้นเอาไว้ แล้วก็ได้พาน้องไปเรียนกับครูท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิลปินอยู่แถวกมลา พอดีบ้านเราอยู่แถวกมลาด้วย ก็จะพาน้องฮอลลี่ไปเรียนกับครูท่านนี้ ทีแรกครูบอกว่าฮอลลี่ยังเด็กเกินไป ยังจับพู่กันไม่ถนัดเลย แต่ดิฉันก็อธิบายครูว่าดิฉันไม่ได้คาดหวังว่าลูกต้องวาดรูปสวยหรือเหมือนจริง แค่อยากให้ดึงความใสบริสุทธิ์ของเขาแสดงออกมาผ่านงานศิลปะ อยากเห็นความรู้สึกของเด็กวัยนี้กับงานศิลปะ และดิฉันอยากทำการทดลองอยากเห็นพัฒนาการของลูกในแต่ละวัย ว่าเขามองสิ่งต่างๆ และถ่ายทอดออกมาอย่างไร ในวัย 3 ขวบ เขามองเห็นต้นไม้แล้วถ่ายทอดออกมาแบบนี้ วัย 4 ขวบ 5 ขวบ เขามองเห็นต้นไม้อย่างไร ก็เลยส่งเสริมให้น้องฮอลลี่ได้เรียนศิลปะ และผลงานชิ้นแรกของน้องฮอลลี่วาดขึ้นตอนเขาอายุได้ประมาณ 2 ปี 8 เดือน”

“งานที่น้องฮอลลี่ทำส่วนใหญ่เป็นงาน Abstract เพราะเขายังเด็กมากที่จะวาดรูปเป็นเรื่องเป็นราวหรือวาดรูปให้เหมือนจริง นอกจากนี้ งาน Abstract ยังสามารถทำได้หลายเทคนิคทั้งการโยนสี ฉีดสี ใช้ลูกกลิ้ง ใช้มิกซ์มีเดียหรือสื่อผสม โดยน้องจะได้รับคำแนะนำจากครูศิลปะรวมทั้งศิลปินหลายๆ ท่าน เช่น ครูชลิต นาคพะวัน หรือ ชลิต กลิ่นสี รวมทั้ง คุณปิ๊บ รวิชญ์ เทิดวงศ์ ก็มีโอกาสมาชมผลงานของน้องฮอลลี่ที่บ้าน ก็ได้ให้คำแนะนำว่าควรจะเพิ่ม หรือใช้เทคนิคแบบต่างๆ เราก็เอาคำแนะนำเหล่านั้นมาใช้และทดลองทำดู เวลาน้องฮอลลี่ทำงานศิลปะ ดิฉันจะเตรียมสีให้เขาเป็นกระปุกๆ เตรียมพู่กัน และผ้าใบ รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ แล้วก็ปล่อยให้เขาได้วาด ระบายสี หรือสร้างสรรค์ผลงานอย่างเต็มที่ แล้วจะถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโอตอนที่เขาทำงานเก็บเอาไว้ด้วยทุกครั้ง โดยเราจะแบ่งเวลาในแต่ละวัน ให้เขาได้ทำกิจกรรมต่างๆ และให้เวลากับการทำงานศิลปะวันละครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงซึ่งเขาจะเต็มที่กับตรงนั้น แต่ช่วงนี้อาจจะมีเวลาน้อยลงเพราะเขาโตขึ้นต้องให้เวลากับการเรียนและทำกิจกรรมอื่นๆ มากขึ้นด้วย”

จนถึงปัจจุบันนี้ น้องฮอลลี่มีผลงานออกมาจำนวนมาก คุณรสรินบอกว่าถ้าจะนับก็น่าจะประมาณ 400 กว่าชิ้นเห็นจะได้ และยังได้แสดงผลงานในโอกาสต่างๆ ในฐานะศิลปินน้อย ซึ่งผลงานของเธอก็ได้รับความสนใจและมีเสียงตอบรับที่ดี

“น้องฮอลลี่มีโอกาสแสดงงานครั้งแรก เนื่องจากมีคุณครูที่ทราบว่าเขาชอบวาดรูป และมีผลงานเก็บไว้ส่วนหนึ่ง พอดีมีงานแสดงศิลปะเด็กจัดขึ้นที่ห้างบิ๊กซี เป็นงานเล็กๆ คุณครูก็ขอให้นำผลงานของน้องฮอลลี่ไปแสดง หลังจากนั้นเมื่อมีโอกาสพบกับครูชลิต ครูชลิตเห็นว่างานของน้องฮอลลี่น่าสนใจ ก็เลยชวนให้นำผลงานไปแสดงที่หอศิลป์กรุงเทพ และยังได้แนะนำให้รู้จักกับเจ้าของ Hof Art Gallery ที่กรุงเทพฯ ทาง Hof Art Gallery ก็ได้ติดต่อให้นำผลงานไปแสดงที่แกลอรี่ และช่วยดูแลเรื่องการจำหน่ายผลงานของน้องให้ด้วย ตอนนี้น้องฮอลลี่เป็นศิลปินของ Hof Art Gallery นอกจากนั้นเราก็จะมีโอกาสนำผลงานไปร่วมในกิจกรรมการกุศลต่างๆ เช่น มูลนิธิ สมาคม สโมสรต่างๆ โดยเฉพาะมูลนิธิหรือสมาคมที่ช่วยเหลือเด็กและช่วยเหลือสัตว์จะจัดงานการกุศลเพื่อจัดหาทุน ดิฉันก็ช่วยโดยมอบผลงานของน้องฮอลลี่ไปให้สำหรับการประมูลหารายได้ในงาน ถือว่าเราช่วยทางอื่นไม่ได้ เราก็ช่วยทางนี้ หลังจากที่มีโอกาสแสดงผลงานที่กรุงเทพฯ ดิฉันก็คิดว่าทำอย่างไรให้เด็กที่ภูเก็ตได้ชมผลงานของน้องฮอลลี่บ้าง เพราะจุดประสงค์หลักเราอยากจะสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ และผู้ปกครองให้หันมาทำงานศิลปะ พอดีทางห้างเซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ตติดต่อให้น้องนำผลงานไปแสดง เนื่องจากเราเคยไปใช้พื้นที่ของห้างในการเรียนสเก็ตช์ภาพ พอดีทางห้างร่วมกับมูลนิธิ World Vision ต้องการจัดงานหารายได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่ประเทศเฮติ ก็เลยชวนให้น้องฮอลลี่นำผลงานมาแสดง และจำหน่ายเพื่อหารายได้สมทบทุนในส่วนนี้ ดิฉันก็ยินดี เพราะนอกจากจะได้ร่วมทำบุญแล้ว ยังเป็นโอกาสเป็นพื้นที่ให้น้องได้แสดงผลงานด้วย หลังจากการแสดงงานที่เซ็นทรัล ก็มีคนโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาเยอะ อยากให้น้องเอาผลงานไปแสดงในโอกาสต่างๆ รวมทั้งทางโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตด้วย ทางเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลได้ติดต่อมา โดยแจ้งว่ามีวัตถุประสงค์คือต้องการนำรายได้ไปสนับสนุนการบริหารจัดการห้องสมุดเด็กวัดป่าส้าน ที่คุระบุรี รวมทั้งช่วยเหลือในกองทุนอนุรักษ์พะยูน เราก็เลยตกลงที่จะมาแสดงงานที่โรงพยาบาล โดยใช้ชื่องานว่า “Every Child is an artist.” โดยจะจัดแสดงผลงานตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน จนถึง 31 พฤษภาคมนี้ ที่บริเวณห้องโถงชั้น 1 และชั้น 2 ของโรงพยาบาล”

“Every Child is an artist.” ดิฉันเชื่อเช่นนั้นนะคะ เชื่อว่าเด็กทุกคนเป็นศิลปินได้ เพียงแต่พ่อแม่ต้องส่งเสริมเขาให้ถูกจุด เด็กๆ ทุกคนสามารถทำงานศิลปะได้ ถ้าพ่อแม่สร้างแรงจูงใจที่ดี อย่างน้องฮอลลี่ดิฉันจะส่งเสริมให้เขาได้ลองหลายๆ อย่าง ไม่ใช่แค่วาดรูป แต่เรียนบัลเล่ต์ เรียนเปียโน หรือเรียนคณิตศาสตร์เราก็จะเปิดโอกาสให้ลูกได้ลอง แล้วให้เขาเลือกเองว่าเขาชอบหรือมีความสุขที่จะทำอะไร ฮอลลี่เขาก็มีความสุขที่ได้อยู่กับศิลปะ มีความสุขกับการวาดรูปได้ทดลองอะไรใหม่ๆ ซึ่งศิลปะนั้นให้อะไรหลายๆ อย่างกับลูก ทั้งเรื่องของสมาธิ ได้ฝึกการใช้สี ทำให้เขามีความกล้า และภูมิใจเมื่อมีผลงานสำเร็จออกมา ที่สำคัญคือสร้างจินตนาการ การส่งเสริมให้ลูกได้เรียนรู้และทำงานศิลปะเป็นสิ่งที่ใช้เวลาไม่มากเลย แล้วก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อของเล่นแพงๆ ด้วย แค่มีกระดาษกับดินสอสี ซึ่งดิฉันจะพกใส่กระเป๋าติดตัวไปด้วยตลอด ก็ช่วยส่งเสริมจินตนาการให้ลูกได้แล้ว จึงอยากแนะนำพ่อแม่ท่านอื่นๆ ที่อยากให้ลูกเรียนรู้และสัมผัสกับศิลปะ พ่อแม่บางคนอาจจะไม่เข้าใจหรือคิดว่าตัวเองไม่ถนัดในเรื่องศิลปะ แต่ถ้าเราทำการบ้านสักนิด ศึกษาข้อมูล และรู้จักสร้างแรงจูงใจในเชิงสร้างสรรค์ ให้เวลากับลูก เด็กๆ ทุกคนก็สามารถเป็นศิลปินได้เหมือนน้องฮอลลี่เช่นกัน”

ติดตามอ่านคอลัมน์ "ทองหลังพระ" หนังสือพิมพ์ข่าวเศรษฐกิจ(ภูเก็ต) /เรื่อง ชุติมา กิตติธรกุล

สนับสนุนเรื่องราวดีๆ ในจังหวัดภูเก็ต โดย โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต

11.5.53

ในวันที่ฉัน ไปสบาย..

ยิ้มก่อนอ่าน



ด้วยว่าความตายมันอยู่ใกล้กับเราแค่ปลายจมูก หรือถ้าจะ up Level ให้ดูกิ๊บเก๋ขึ้นอีกหน่อย ก็อาจจะเปลี่ยนมาใช้คำว่า "คว่ำตาย หงายเป็น" ก็ได้ ไม่มีปัญหา ไม่ได้ผิดจรรยาบรรณทางการแพทย์หรือทางเพศข้อไหนในโลกนี้เลย .. คนสมัยโบราณ มักจะห้ามปรามไม่ให้พูดเรื่องตาย ด้วยว่าไม่เป็นมงคลแก่ชีวิต แต่เมื่อเติบใหญ่จนย่างเข้าวัย 30 ปี บริบูรณ์ กลับตระหนักได้ว่า การพูดเรื่องความตาย หาได้สร้างความเป็นมงคลหรือไม่เป็นมงคลแก่ชีวิตคนเราไม่ เพราะการยอมรับสิ่งต่างๆ ได้อย่างไม่หน่ายหนี ย่อมเป็นการตระเตรียมใจและเดินไปอย่างรู้คุณค่าของการมีลมหายใจ ทุกสิ่งที่ทำไปในแต่ละวันจะได้คิดให้ดีๆ ไม่ต้องมาย้อนนึกไปให้เสียดายในภายหลัง และคงไม่ลงทุนทำอะไรที่รู้อยู่แก่ใจว่าไร้ค่า เพราะในเมื่อรู้ว่าต้องตาย(ไม่ต้องใช้ตาทิพย์ก็รู้ ไอ้ที่ยังไม่รู้ก็แค่วันตาย เท่านั้นเอง) อย่างน้อยมันก็ต้องทำให้ดี ..จริงป่าว?


ความตาย เป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐาน(จปฐ)ที่ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่เรียกได้ว่ามีชีวิตย่อมต้องมีอยู่ โดยจะมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด(กรรมเหนิด) ขายเป็นแพ็ครวม ทั้งเกิดแก่เจ็บและตาย ไม่มีชาติหรือตระกูลไหนที่รวยแล้วจะซื้อแบบแยกได้ โดยทั้ง 4 ข้อ จะรอแค่วันแสดงผลและทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ สัตว์น้อยใหญ่(น่ารักมากน่ารักน้อยก็ต้องตาย) และสุดท้ายก็มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆ เนี่ยแหล่ะ


4 เต่าทอง ทั้งเกิดแก่เจ็บและตาย จึงมีความสำคัญที่จะทำให้การมีลมหายใจเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากมีใครสักคนที่อยู่ยั้งยืนยงไม่ยอมตาย หรือพยายามยื้อกับความตายอย่างสุดชีวิต ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด หวงสมบัติ หวงนั่นหวงนี่ หรือไม่ยอมปล่อยวาง ก็ย่อมทำให้ชีวิตขาดตกบกพร่องประหนึ่งว่าตกท้องร่องท้องนากันเลยทีเดียว ถ้าใครเป็นแบบนั้นจริง ก็อาจจะเรียกได้ว่า เป็นผู้ที่มีชีวิตไม่สมบูรณ์แบบ



วันนี้ไม่ได้เป็นวันฤกษ์ดีมีชัย ไม่ได้เป็นวันหดหู่โลก ไม่ได้เป็นวันอะไรเลย แค่อยากบันทึกเวลาระลึกอะไรขึ้นมาได้ แล้ว blog นี้ก็ถูกกำหนดให้เป็นที่ระบายความรักใคร่ น่าเอ็นดู และสนองตัณหาของข้าพเจ้าเองล้วนๆ มันเลยตกที่นั่งลำบาก ต้องกลายเป็นที่รองรับไปในที่สุด ร้อยวันพันปี อาจจะไม่มีใครสนใจเหลียวแล ไม่เคยแวะมาดู และไม่เคยรู้ว่าข้าพเจ้าคิดเห็นเยี่ยงไร แต่ blog นี้อาจจะมีคนแวะเข้าด้วยความคิดถึง เมื่อถึง ณ วันนั้น (หรือก็คือวันนี้เนี่ยแหล่ะ) อย่างน้อยๆ คนใกล้ตัว หรือคนไกลตัวที่ไม่เคยสนใจจะเปิดอ่าน อาจได้เวลาเหมาะเพราะคิดถึงผู้ตายอย่างข้าพเจ้า เลยได้แวะเข้ามาอ่านด้วยจงใจ หาใช่การบังคับอ่านแต่อย่างใดไม่ :)


แต่จะติดต่อสื่อสารหรือว่าให้ข้าพเจ้ามีปฏิสัมพันธ์ด้วยนั้น "คงยาก" ก็เคยบอกไว้แล้วนินา ว่าจะทำอะไรให้ทำซะตอนคนๆ นั้นนั้นยังอยู่ ถึงตอนนี้จะมาเคาะบอก Knock Knock ข้าพเจ้าก็หาได้ยินแล้วไม่


แต่เอ.. หรือว่าจะได้ยินหว่า ไม่รู้ดิ่ ยังไม่เคย ไว้ถึง ณ ตอนนั้น แล้วจะมาบอก (หลอนหลาว ล้อเล่นหน่า) จำได้ว่าเมื่อเดือนก่อนได้พูดคุยกับบุพการีทั้งสองและคุณชายถึงเรื่องตายๆ เลยอยากดีไซน์การตายของตัวเองไว้ก่อนล่วงหน้า จะได้ไม่ทำการใดๆ อันผิดความประสงค์ของข้าพเจ้า .. โดยได้แจกแจงไว้เป็นข้อๆ แล้ว ดังนี้



1.หากต้องจัดพิธีศพ ก็ขอแค่ไม่เกิน 3 วัน เพราะไม่อยากให้ทุกคนเหนื่อย อีกทั้งญาติสนิทมิตรสหายใกล้ชิดก็คงทราบข่าวกันโดยสนิทใจ ไม่ต้องประกาศไปไกล 7 คุ้งน้ำ ด้วยกลัวจะสร้างความลำบากใจให้คนไกลต้องลำบากมา



2.ข้าพเจ้าได้เขียนเอกสารแจ้งเรื่องการบริจาคร่างกายและดวงตา ส่งให้สภากาชาดไทยไปนานแล้ว แต่ยังไม่ได้บัตร(ไม่รู้เพราะอะไร.. แต่ให้น้า :) มารดาข้าพเจ้ารับทราบและยินยอมแล้ว ซึ่งหากข้าพเจ้าโดนน็อคสมองตายแต่ร่างกายยังดีมีลมหายใจ ก็ขอให้นำทุกอย่างในร่างกายข้าพเจ้าที่ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ไปใช้ประโยชน์แก่ผู้อื่นที่ยังต้องการประโยชน์จากมัน เพื่อต่อลมหายใจ ต่อชีวิต โปรดอย่ายื้อให้ข้าพเจ้าอยู่ในสภาพไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบโดยมีสายนู่นี่พะรุงพะรัง :) แต่หากข้าพเจ้าหมดลมเฉยๆ ไม่ได้สมองตาย ก็สามารถเอาดวงตาของข้าพเจ้าไปให้ใครสักคนสองคนที่มองไม่เห็น..ด้วยนะจ๊ะ



3.คลังภาพของข้าพเจ้าที่ได้ up ไว้บน Internet ทั้งหมด ข้าพเจ้าอนุญาตให้ใครก็ได้หยิบไปใช้ได้ทุกกรณี(ยกเว้นเพื่อการค้าหรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ทุกสิ่งที่ปรากฎในภาพ) ขอให้ทุกท่านดื่มด่ำและสัมผัสกับความสุขและเรื่องราวมากมายในชีวิตข้าพเจ้า หลังจากได้รู้จักมักจี่กับเจ้า 400D คู่ใจ


http://picasaweb.google.com/jubjub.bpk




(หรืออื่นๆ)




4.ข้าพเจ้าอ่านหนังสือเสียงเพื่อคนตาบอด หากสิ้นชีพก่อนหนังสือเสียงเล่มนั้นๆ บรรลุเป้าหมาย ก็ขอให้ใครสักคนช่วยสานต่อมันจนสำเร็จลงด้วยดี (ขณะนี้ที่ยังไม่ตาย อ่านเรื่อง "หนุ่มนักโบกกับสาวขี้บ่น" ของสมจุ้ยเจ้าค่ะ แต่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเล่มแรก น่าจะเสร็จสมบูรณ์ด้วยตัวเอง..ก่อนตายนะ :)



5.มางานศพ ไม่ต้องเศร้ามากก็ได้นะจ๊ะ ข้าพเจ้าไปสบายแล้ว ถ้าให้ดีมิต้องใส่ชุดดำถมึนทึนก็ดี :) มันดูหมองนิ เอาเป็นว่าข้าพเจ้าขอให้บุคคลอันเป็นที่รักและเคารพ มีแต่ความเข้มแข็ง ขอให้ความเศร้าหมองผ่านไปในไม่ช้า เพราะข้าพเจ้าเองก็อยากให้มีรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าของทุกท่านมากกว่ารอยน้ำตา .. รวมถึงทุกคนที่เคยได้ผ่านเข้ามาทำให้ชีวิตของข้าพเจ้ามีคุณค่า แม้จะผ่านเข้ามาเพียงบางเบา ก็ล้วนแล้วแต่ได้ร่วมกุศลกันมา ขอให้มีความสุขกายสบายใจกันถ้วนหน้าเน้อ :)




ด้วยความรักและระลึกถึงเสมอ

(North Trip_My Family_Happy New Year 2008 > 2009)

เยาวชนรักษ์ภูมิท้องถิ่น



ฝ่ายทรัพยากรบุคคลโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ภูมิใจเสนอ โครงการสานสัมพันธ์รักครอบครัวพนักงาน ตอน"เยาวชนรักษ์ภูมิท้องถิ่น" โดยจัดทริปการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต ขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้กับบุตรหลานพนักงานอายุระหว่าง 6-12 ปี ได้ใช้เวลาในช่วงปิดเทอมให้เป็นประโยชน์แถมได้ความรู้และยังมีเรื่องสนุกๆ เก็บไว้เล่าให้เพื่อนๆ ฟัง ตอนเปิดเทอมด้วย :)

เห็นเมลของอ้ายชายประกาศปาวๆ ทาง Lotus Notes ก็รีบสมัครไปเป็นพี่เลี้ยงในทันที ไม่ใช่เพราะความรักเด็กเข้ากระแสเลือดแต่เป็นเพราะอยากไปสัมผัสกลิ่นของความเป็นภูเก็ตแท้ๆ กับเด็กๆ ด้วย อีกอย่าง.. การได้ไปเที่ยวกับเด็กๆ อาจจะได้พบกับมุมมองใหม่ๆ ในแบบที่เด็กๆ เค้าคิดกัน เห็นอ้ายชายบอกว่าจะพาไปหลายที่ ทั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง,ไปดูหนังตะลุงและการฝึกวาดตัวตะลุงด้วย แล้วยังมีวัดพระทองอีก จะไม่ไปได้ไงเล่า .. ชิมิ


รู้สึกดีกับกิจกรรมดีๆ ที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลได้จัดขึ้นให้แก่พนักงาน รวมถึงวงหว่านว่านเครือของพนักงานด้วยกิจกรรมนี้นับเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีให้แก่เด็กน้อยตากลมใส เพื่อจะได้รู้สึกรักบ้านเกิดตั้งแต่ยังตัวเล็กๆอย่างน้อยเมื่อเค้ารู้สึกคุ้นชิน ความรักและความหวงแหนสิ่งต่างๆ รอบตัว จะเกิดขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ

งานนี้จึงอยากสนับสนุนเต็มที่ เริ่มกันในบ้านเล็กๆ ของเราเอง แล้วค่อยกระจายไปสู่ชุมชน แต่ลำพังแค่พี่น้องพนักงานและคณะแพทย์ของโรงพยาบาลกรุงเทพก็ปาเข้าไปเกิบพันครอบครัวแระ ..เสียดายที่น้องไอซ์(หลานสาวตัวแสบ)เปิดเทอมไปแล้ว แถมช่วงนี้กำลังคืบคลานเข้าสู่ "วัยรุ่น" จึงไม่ค่อยปลื้มหากชวนไปทำอะไรแบบเด็กๆ haha..

ไว้จะเก็บเรื่องราวและบรรยากาศประทับใจมาเล่าให้ฟังเน้อ :)

CSR Project News_11May10


ปารียา จุลพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจสาธารณะโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และนนทลี มรรคาวาณิช ประธานมูลนิธิมรรคาวาณิช ร่วมจำหน่ายเสื้อยืดพะยูนฝีมือน้อง Holly วัย 4 ขวบ และผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ เสื้อ Green Member , น้ำจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ(EM) ทั้งแบบขยายกลิ่นมะกรูดและกลิ่นสัปปะรด ฯลฯ ในโครงการตลาดนัดจิปาถะ ณ BPK เพื่อหารายได้เข้ากองทุนมูลนิธิมรรควาณิช ซึ่งดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยทางโรงพยาบาลฯ ได้เปิดพื้นที่บริเวณลานจอดรถ D (ลานแอโรบิค) ให้พนักงานและญาติของพนักงานได้จำหน่ายอาหาร เสื้อผ้า และของใช้ทั่วไป เพื่อเป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้เป็นประจำทุกวันศุกร์เวลา 17.00 - 20.00 น.

จเร รัตนะ รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลกมลา นำทีมอาสาสมัครเข้าร่วมกิจกรรมโยน EM Ball เพื่อร่วมฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลบ้านป่าคลอก ในโครงการอนุรักษ์หญ้าทะเลและพะยูน จ.ภูเก็ต โดยปารียา จุลพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจสาธารณะโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และนนทลี มรรคาวาณิช ประธานมูลนิธิมรรคาวาณิช ได้ให้อธิบายถึงวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ก่อนร่วมกิจกรรมโยน EM Ball เพื่อให้อาสาสมัครมีความรู้และเข้าใจถึงระบบนิเวศหญ้าทะเลที่มีความสำคัญ และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และหวงแหนทรัพยากรอันมีค่าอย่างยั่งยืนต่อไป

ปารียา จุลพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจสาธารณะโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และนนทลี มรรคาวาณิช ประธานมูลนิธิมรรคาวาณิช ให้การต้อนรับคุณภาวัต ศุภสุวรรณ คณะกรรมการชุมนุมสหกรณ์ยูเนี่ยนแห่งประเทศไทยพร้อมคณะ ในโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมโยน EM Ball บริเวณแนวหญ้าทะเลบ้านป่าคลอก เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ในโครงการอนุรักษ์หญ้าทะเลและพะยูน จ.ภูเก็ต ซึ่งทางโรงพยาบาลฯ และมูลนิธิฯ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2552


วันเพ็ญ อัพตัน ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย จ.ภูเก็ต (NBT) นำทีมผู้ประกาศและช่างภาพร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดนิทรรศการ Art for The Earth ซึ่งทางโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตได้นำผลงานของน้องฮอลลี่ แมทแลน สมิธ ศิลปินตัวน้อยวัย 4 ขวบ มาจัดแสดงบริเวณชั้น 1-2 และทางเดินไป Ward 2D ตลอดเดือนพฤษภาคมนี้ พร้อมกับจำหน่ายเสื้อยืดพะยูนฝีมือน้องฮอลลี่ ในราคาตัวละ 179 บาท เพื่อช่วยหารายได้สมทบทุนการดำเนินงานของห้องสมุดเด็กวัดสามัคคีธรรม(ป่าส้าน) อ.คุระบุรี จ.พังงา ท่านที่สนใจอุดหนุนภาพวาดและเสื้อพะยูนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายกิจสาธารณะ โทร 1719 ต่อ 2297

ปารียา จุลพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจสาธารณะโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และรสริน แมทแลน สมิธ มารดาของน้องฮอลลี่ แมทแลน สมิธ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับโครงการ Art for The Earth ในรายการ Andaman Talk ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย จ.ภูเก็ต (NBT) เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีปถมาภรณ์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เป็นผู้ดำเนินรายการ

10.5.53

พะยูน พูลสุข_จุดประกาย กรุงเทพธุรกิจ

กรุงเทพธุรกิจ ~ จุดประกาย ฉบับวันพุธที่ 5 พ.ค. 53 เรื่อง พะยูน พูนสุข หลังจากพี่สมสกุล เผ่าจินดามุข บินตรงจากกรุงเทพฯ มาร่วมลุยโคลนกับเราเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา เรื่องราวเหล่านี้จึงปรากฏแก่สายตาประชาชี
เมื่อไม่ได้นั่งเทียนเขียน สิ่งต่างๆ ที่บอกเล่า จึงกลั่นกรองออกมาจาก 1 สมอง 2 ตา และ 1 ใจ :)

ประมวลภาพ : http://picasaweb.google.com/jubjub.picc/41953#


"อยากให้คนหันมาเห่อพะยูน เหมือนเห่อแพนด้าบ้าง" นักวิชาการประมงคนหนึ่งเปรยออกมา ขณะที่สถานการณ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวนี้ ดีขึ้นมานิดหน่อยอย่างน้อยก็ที่...ไข่มุกอันดามัน

คนภูเก็ตแบ่งเวลาพิเศษกว่าคนจังหวัดอื่น อย่างเวลาสนทนาถึงทะเลและสิ่งแวดล้อมกับชาวบ้านป่าคลอก อ.ถลาง พวกเขามักแบ่งเวลาออกเป็นสองช่วง คือ ก่อนสึนามิ และหลังสึนามิ "ก่อนสึนามิหญ้าทะเลเยอะมาก พอสึนามิมาหญ้าก็หายไปหมด" ป้าน้อย พยานปากเอกที่รู้เห็นท้องทะเลแถวบ้านมาตั้งแต่เกิด พูดกระมิดกระเมี้ยนไม่เต็มปาก เพราะเพิ่งใส่ฟันชุดที่สามจึงยังไม่คุ้นชิน

ชายหาดน้ำตื้นหน้าโรงเรียนวีรสตรีอนุสรณ์และบ้านป่าคลอก หญ้าทะเลเขียวแกว่งไกวอย่างอ่อนโยนใต้พื้นน้ำเค็ม มันเป็นระบบนิเวศวิทยาหญ้าทะเลที่สัตว์น้ำอย่าง ปูขน ปูเทศบาล หอยชักตีน หอยโป่ง ปลาทะเล ปลาโทง กุ้งขาว กุ้งตีนแดง และอีกสารพัดชนิดใช้เป็นที่ดำรงชีวิต ชวนให้นึกถึงทุ่งหญ้าสวันนาห์ในแอฟริกา ผืนทะเลหน้าหาดป่าคลอกยังเป็นแหล่งยังชีพของชาวบ้านแถบนั้นด้วย
ชาวบ้านคนหนึ่งยกข้องให้ดูปลาตัวอวบขาวยาวสักฝ่ามือทำตาแป๋วแหววนอนเบียดกันอยู่ในข้อง มันคือปลากระบอก ที่ขายกันกิโลกรัมละ 60 บาท วันไหนจับได้ปลาทรายที่ขายกันกิโลกรัมละ 100 บาท ถือว่าพวกเขาโชคดีแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชายหาดได้หญ้าทะเลกลับคืนมาแล้ว
หญ้าทะเลหน้าหาดหมู่บ้านป่าคลอกยังเป็นที่แวะเวียนของของพะยูน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เหลือจำนวนประชากรน้อยลงทุกวัน ถึงขั้นถูกจัดให้อยู่ในบัญชีสัตว์สงวน ตามพระราชบัญญัติสัตว์สงวน พ.ศ.2535 อาหารเหลาชั้นเลิศของพวกมันคือหญ้าทะเล และเป็นพืชชนิดเดียวที่ยังชีพและเผ่าพันธุ์ของพวกมันไว้


"มาดู มาดู นี่ไงรอยพะยูนกินหญ้า" ลุงต๋อย ชาวบ้านนักอนุรักษ์ซึ่งยืนคอยอยู่นานแล้วตะโกนเรียกให้มาดูร่องรอยของหญ้าทะเลที่หายไปเป็นทาง ยืนยันว่าพะยูนยังคงแวะเวียนแอบมาหาอาหารอยู่เสมอ พะยูนใช้ปากของมันดูดหญ้าทะเลจนชาวบ้านเรียกพวกมันว่า หมูน้ำ หรือหมูดูด จากพฤติกรรมการกินที่คล้ายหมู ดูจากร่องรอยการกินแล้วลุงต๋อยสวมบทนักสืบเชอร์ล็อค โฮมส์ บอกว่าน่าจะมีสัก 3 ตัว เป็นพ่อ แม่ และลูก เนื่องจากบางรอยมีขนาดเล็ก ปี 2535 ลุงต๋อย และอาสาสมัครชาวบ้านกลุ่มหนึ่งรวมกลุ่มกันเป็นชมรมนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ช่วยดูแลสอดส่องสิ่งแวดล้อมในหมู่บ้านไม่ว่าจะเป็นป่าบนบก หรือสินในน้ำ หากพบเห็นกลุ่มคนฉกฉวยประโยชน์ตัดโค่นถางป่า หรือลงอวนจับปลาชนิดไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม อาสาสมัครชาวบ้านพร้อมปฏิบัติการต่อต้าน "เมื่อก่อนเยอะกว่านี้ แต่พอมีเครื่องมือประมง มีเรืออวนลง สัตว์น้ำหายหมด" ลูกน้ำเค็มเล่าถึงเหลือบ การทำงานของนักอนุรักษ์ชาวบ้านอาศัยการออกหาข่าวตามตลาด หากพบพ่อค้านำสัตว์สงวนมาขายตามตลาด อาสาชาวบ้านจะไปเจรจาและห้ามปราม โดยที่ผ่านมาได้รับความร่วมมืออย่างดี

-2-
ชายทะเลหน้าหาดป่าคลอกเป็นเลนนุ่มพอเหยียบจมฝ่าเท้า แต่ไม่ถึงกับมิดท่วม พื้นข้างล่างค่อนข้างแน่น เวลาเดินเท้าเปล่าควรระวังและเจริญสติไปพร้อมกับท่อง "ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ" เพราะใต้พื้นชายเลนเป็นที่หลบซ่อนหน้าของหอยชักตีน เงี่ยงคมของมันคอยสกัดผู้บุกรุก หากบุ่มบ่ามก้าวเท้าสวบๆ ลงไปอาจต้อง "ชักตีน" ออกแทบไม่ทัน

หญ้าทะเลมีลักษณะเป็นใบเรียวยาวปลายมน ผิวออกลื่น และนุ่มมือ สัตว์น้ำหลายชนิดใช้เป็นที่คุ้มกะลาหัว หญ้าทะเลจึงเป็นแหล่งชุมนุมของปู กั้ง ปลาชนิดต่างๆ รวมถึง "หลัด" สัตว์ทะเลที่ชาวประมงเอาไว้เป็นเหยื่อตกปลา
หญ้าทะเลหรอมแหรมเริ่มเขียวชะอุ่มเป็นผลพวงจากโครงการฟื้นฟูหญ้าทะเลบ้านปากคลอกด้วยลูกบอลอีเอ็ม โดยโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตร่วมกับมูลนิธิมรรคาวาณิช ดำเนินกิจกรรมนำประโยชน์จากจุลินทรีย์มาช่วยปรับสภาพพื้นดินหน้าหาดให้อุดมสมบูรณ์

ต้นความคิดจุดประกายลูกบอลอีเอ็มพลิกผืนป่าชายฝั่งป่าคลอกให้เขียวชะอุ่มเป็นชายชาติทหารคนหนึ่งที่หัวใจเขียวขจีไม้แพ้กัน "หญ้าขึ้นหรือยัง" พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาค 4 ลงจากเฮลิคอปเตอร์ยังไม่ทันฝุ่นสนามฟุตบอลจางจากแรงใบพัดแมงปอ ส่งเสียงถามไถ่ออกมา ระหว่างเดินตรงมาถามความคืบหน้ากับ ปารียา จุลพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจสาธารณะโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และนนทลี มรรคาวาณิช ประธานมูลนิธิมรรคาวาณิช
หลังจากสองสาวรายงานความคืบหน้าของสถานการณ์ขาดคำ แม่ทัพภาคสี่บอกอย่างกระตือรืนร้นว่า "ไปดูกัน" เสียงย่ำเท้าของทหารพรึ่บพั่บพร้อมตรงไปหาดทราย ฝ่าอากาศกำลังสบายยามเช้าของชายทะเลภูเก็ตฝั่งตะวันออก
นอกจากดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณพื้นที่ด้ามขวานทองแล้ว แม่ทัพภาคสี่มีภารกิจพิเศษถ่ายทอดประสบการณ์นำเอา "เทคโนโลยีอีเอ็ม" มาเผยแพร่ให้กับเกษตรกรหลายพื้นที่ โดยเริ่มจากภาคอีสาน และขยายต่อมายังภาคใต้ หลังจากเข้ารับตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคสี่ พล.ท.พิเชษฐ์ เดินย่ำสำรวจหญ้าทะเลพลางร่วมกิจกรรมโยน "ลูกบอลอีเอ็ม" เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นดินด้วยสีหน้าแจ่มใส "มันขึ้นเยอะเลย" เขายังคงเดินลุย และกวาดตามองพื้นไม่หยุด "เมื่อก่อนยังไม่ขึ้นอย่างนี้เลย"
อีเอ็ม (Effective Microorganism) หรือเทคโนโลยีอีเอ็ม เป็นผลงานคิดค้นโดย เทรูโอ ฮิกะ นักวิชาการด้านพืชสวนจากมหาวิทยาลัย Ryukyus ของญี่ปุ่น หลังจากสังเกตความอุดมสมบูรณ์ของดินในป่าที่ทำให้ต้นไม้งอกงามโดยไม่ต้องดูแลให้ปุ๋ย ฮิกะจึงนำดินป่ามาศึกษาและพบว่ามีจุลินทรีย์อยู่หลายชนิดที่ช่วย "พลิกฟื้น" ความสมบูรณ์กลับคืนให้กับดิน แม่ทัพภาคสี่เล่าความสำเร็จมากมายจากการนำอีเอ็มไปช่วยฟื้นฟูสภาพดิน ลดภาระค่าปุ๋ยให้เกษตรกร และช่วยเพิ่มผลผลิตอย่างเห็นชัดกับตา "เมื่อก่อนคนต่อต้านผม ถามผมวิจัยมาหรือยัง ผมบอกว่าผมมีชาวบ้าน เขาทำแล้วเขาเห็นกับตา ชาวบ้านเขาไม่โง่ "
นอกจากชาวบ้านเป็นพยานแล้ว พลท.พิเชษฐ์ ยังมีพยานวัตถุภาพถ่ายอีกมากมายที่พร้อมให้ท้าพิสูจน์ ไม่ว่าจะเป็นข้าวที่ออกรวงเป็นกอบเป็นกำ ลูกมะพร้าวที่เบียดกันแน่นต้น ลูกทุเรียนที่แย่งกันขึ้นดกจนมองแทบไม่เห็นกิ่ง ทีเด็ดเรียกเสียงฮือฮาจากชาวบ้านทุกครั้งที่แม่ทัพภาคสี่ไปบรรยายสรรพคุณของอีเอ็มคือ คลิปวิดีโอโชว์ชาวบ้านกรีดยางให้เห็นกันกลางวันแสกๆ น้ำยางไหลพรากลงภาชนะรอง แม่ทัพเล่าว่า ตอนไปบรรยายให้คนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ฟัง ตอนแรกชาวบ้านทำหน้าไม่ยินดีปราศรัย แต่พอเห็นวิดีโอโชว์เด็ดน้ำยางขาวทะลักออกจากต้นยางราวกับเปิดก๊อก ใบหน้าเปลี่ยนกลับมาเป็นมิตรทันที "ผมทำให้ชาวบ้านมีอาชีพ ไม่ต้องออกหากินไกล ช่วยพวกเขาได้ก็ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ที่ผ่านมาเราทำกันแต่เชิงรับ แต่นั้นไม่พอ เราต้องทำเชิงรุกด้วย" แม่ทัพภาคสี่บอกด้วยว่า กิจกรรมดังกล่าวยังเป็นเครื่องมือให้ทหารและชาวบ้านได้คุยกัน แม่ทัพภาคสี่กับภารกิจเผยแพร่เทคโนโลยีอีเอ็มเห็นว่า มนุษย์หาประโยชน์จากธรรมชาติมาตลอด แต่ไม่เคยให้ธรรมชาติกลับไปบ้าง ตัวอย่างง่ายๆ... มนุษย์ตัดไม้ทำลายป่ามากกว่าปลูกป่า "ที่ผ่านมาเรามักรณรงค์ไม่ให้คนตัดไม้ทำลายป่า แต่ทำไมไม่พูดถึงการรักษาของเก่า" พลท.พิเชษฐ์ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มุมมองดังกล่าวเป็นแรงผลักดันให้เขาทำหน้าที่เผยแพร่และชักชวนให้ชาวบ้านทดลองบำรุงดินด้วยมือ และประจักษ์ด้วยตาตัวเองถึงประสิทธิภาพของอีเอ็ม "ผมไม่ได้บอกให้เชื่อ แต่ลองดูนะครับ" ทหารหัวใจสีเขียวเชิญชวน

-3 -
ภูเบศ จอมพล นักวิชาการประมงจากสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลนภูเก็ตฯ บอกว่า จำนวนประชากรพะยูนในประเทศไทยเหลืออยู่เพียง 200 กว่าตัวเท่านั้น สาเหตุสำคัญคือ พะยูนตกลูกน้อยมากไม่ต่างจากแพนด้า


"ธรรมชาติของพะยูนออกลูกรอบละตัวเดียวเอง ตกลูกรอบหนึ่งต้องรอไปอีก 3-5 ปี แบบเดียวกับช้างเลย" เขาบอก และเห็นด้วยว่า อยากให้คนหันมาเห่อพะยูนเหมือนเห่อแพนด้าบ้าง ภูเบศเข้ามาร่วมโครงการฯ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของลูกบอลอีเอ็มต่อการเปลี่ยนแปลงของหญ้าทะเล ขอบเขตพื้นที่ศึกษากินอาณาเขตราว 50 ไร่ แบ่งเป็นสถานีเก็บตัวอย่าง 10 สถานี โดยซอยย่อยออกเป็น 8 สถานีที่ปรับสภาพดินด้วยลูกบอลอีเอ็ม และแปลงนอก 2 สถานี เป็น control group นอกจากนักวิชาการประมงแล้วยังมี ป้าแต๋ว ชาวบ้านอีกคนหนึ่งจะคอยเดินดูหญ้าทะเลเป็นประจำ จากคำบอกเล่า ป้าแต๋วบอกว่าหลังจากหญ้าทะเลเริ่มฟื้นตัว สัตว์น้ำก็เข้ามาอยู่อาศัยกันมากขึ้น
"เมื่อก่อนเหลือแต่ตอ ตอนนี้ดูเห็นเขียวแต่ไกล เยอะขึ้นหนาขึ้น ที่อื่นไม่ค่อยมีนะ ป้าเดินดูประจำเดินขึ้นเดินลง กุ้งขาวเยอะขึ้นจับได้วันละ 10 กิโลกรัม ปลาทรายชอบอยู่ มากินหลัด" เธอบอกว่าช่วงหน้าร้อนสัตว์น้ำยังมาไม่มาก แต่พอเข้าหน้าฝนจะมีมากันอีก และตอนนี้เริ่มมีกุ้งมีปลาชวนกันมาบ้างแล้ว ผลพลอยได้อย่างหนึ่งที่สำคัญคือ ทำให้ชาวบ้านมีอาชีพ น้ำทะเลหน้าหาดป่าคลอกเริ่มขึ้นแล้วตามดวงตะวัน ลูกบอลอีเอ็มที่เตรียมมาหลายถุงจมตัวลงอยู่ใต้เลน กระบวนการฟื้นตัวตามธรรมชาติกำลังเริ่มกระบวนการ
หญ้าทะเลยังคงพริ้วไหวเหมือนกวักมือชวนพะยูนมาลิ้มรส / เรื่อง : สมสกุล เผ่าจินดามุข
ตีพิมพ์ในคอลัมน์จุดประกายหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 5 พฤษภาคม 2553

ห่อหมกวันหยุด..




นานแล้วที่บ้านเราไม่ได้ทำห่อหมกกินเอง ด้วยว่าซื้อกินสะดวกกว่า แต่วันอาทิตย์นี้(9พ.ค.) หม่ามี๊เพิ่งกลับจากปฏิบัติธรรมก็พาให้ลูกๆ รวมถึงป๊ะป๋าคึกคักตามไปด้วย เช้ามาจึงเห็นกองใบตองกระจายอยู่เต็มครัว นั่งดูหม่ามี๊คลุกเคล้าเครื่องปรุง และบรรจงห่อ ห่อหมก ทีละห่อ ก็พาให้เพลินๆ ไปกับเสน่ห์ของอาหารการกินของคนไทย ช่างคิด ช่างทำ ช่างประดิษฐ์ เอานู่นนิดนี่หน่อยมาเสริมจนเพิ่มความน่ากินขึ้นไปอีกระดับ

ลูกน้อยหอยสังข์อย่างเราได้แต่นั่งทำตากริบๆ เพราะทำไรไม่เป็น หากลงมือช่วย จะพาให้วุ่นวายกันไปใหญ่ จึงรับมอบหมายหน้าที่ในการชิมห่อหมกที่นึ่งมาใหม่ๆ หอมๆ ร้อนๆ แล้วก็ต้องยกนิ้วให้บุพการีทั้งคู่..
สุดยอดจริงๆ ครับบิดามารดาของกระผม :)

BasketTrue2010



ทุกๆ ปี พวกเราจะมีการแข่งขันบาสเกตบอลนัดกระชับมิตรกับทีม True ภายใต้การนำของอ้ายนิว สหายจากเมืองบางกอก ซึ่งเดินทางมาทางสายพี่เอ(หมีขาวแห่ง SNL) ปีก่อนพี่เสือเธียร์มีอาการบาดเจ็บที่เท้า ส่งผลให้ร่วมเล่นกับเพื่อนๆ ไม่ได้ นู้เหน่น เฮียกอล์ฟ พี่หมี จตุรเทพก็ได้ลงไปหน้าซีดโชว์เด็กๆ กันเพียงลำพัง
โดยปกติเราจะใช้ชื่อทีม Jam (ที่ใช้กันมานานนม) แต่ปีนี้สมาชิกหดหาย จึงต้องขอทีม Infinity มาช่วยรับหน้าทีมเยือนแทน Jam น้อย :) ด้วยประการฉะนี้
ประมวลภาพปี 2009 :: http://picasaweb.google.com.au/jubjub.picc/BasketTrue201002#
สำหรับปีนี้เฮียกอล์ฟไม่ได้มาร่วมเหนื่อยด้วย เนื่องจากเพิ่งหายจากอาการจู๊ดๆ แต่พี่เสือเธียร์นั้นไร้ซึ่งข้ออ้าง ทำให้ต้องลงไปวิ่งหอบแฮกกับเพื่อนๆ ประมาณว่าเล่นเอาขำ ไม่จริงจัง เพราะกรูเหนื่อย.. แต่ก็ไม่ได้เน่าแน่แช่แป้งจนมากเกินไปนัก กระโดดยิงระยะไกลก็ยังได้แต้มมาให้พอชื่นใจและได้กรี๊ดอยู่บ้าง จบเกมส์เจ้าบ้านชนะทีมเยือน 1 คะแนน แต่ความอึดนี่มันสู้กันไม่ได้ ทีม True ดูดี เหมือนกับได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ทีมเจ้าบ้านหมดสภาพกันไปเป็นทิวแถว แม้จะลงไปเล่นกันคนละไม่เกิน 5 นาทีก็ตาม งานนี้ถ้าไม่ได้เด็กๆ มาช่วยเป็นอันว่าได้แพ้ราบเป็นหน้ากลองแน่นอนค้าบ :)

และแล้วเป้าประสงค์ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี "ได้แวะมาเที่ยวแล้วก็ได้กระชับมิตรไปด้วย" แจร่ม!!